Site icon MDX | MEN DAILY XPERT เราเข้าใจผู้ชาย

กินอยู่อย่างไร..ให้ห่างไกล “ไขมันพอกตับ”

กินอยู่อย่างไร..ให้ห่างไกล “ไขมันพอกตับ” 

โรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) หรือไขมันเกาะตับ เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับมากเกินปกติ คือ ประมาณ 5-10% ของตับ โดยน้ำหนักไขมันที่เข้าไปแทรกตับนั้น มักเป็นชนิดไตรกลีเซอไรด์ ภาวะนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ แต่อาจเป็นภัยเงียบที่เราอาจไม่รู้ตัว!!!

สาเหตุการเกิดโรคไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับเพศ ประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์ เรียกว่า alcoholic fatty liver disease
  2. ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะไขมันพอกตับ 

  1. คนอ้วน ผู้ชายรอบเอวเกิน 40 นิ้ว ผู้หญิง รอบเอวเกิน 35 นิ้ว
  2. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  3. ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  4. ผู้ที่มีไขมันดี หรือ HDL ต่ำ (ผู้ชาย น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ผู้หญิง น้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
  5. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป

รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีไขมันพอกตับ?

ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแสดงอาการ และมักตรวจพบได้จากการตรวจเลือดประจำปี หรืออัลตราซาวนด์ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา

ไขมันพอกตับสามารถแบบออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

แนวทางการรักษา และป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ

  1. หากมีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักโดยให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยการลดน้ำหนักประมาณ 25 – 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ จนกระทั่งน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  2. ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที หากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบมีแรงต้าน เช่น เดินเร็วครึ่งชั่วโมง แล้วตามด้วยการยกน้ำหนักแบบแรงกระแทกต่ำ
  3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
  4. ผู้ป่วยที่มีเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดีด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ร่วมกับการควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
  5. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
  6. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

นอกเหนือจากแนวทางการรักษา และป้องกันภาวะไขมันพอกตับตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การรับประทานสมุนไพร และอาหารเสริมบางชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ก็สามารถช่วยขับสารพิษออกจากตับได้ เนื่องจากในปัจจุบันการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะไขมันพอกตับยังมีข้อมูลไม่มากพอ แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษา พบว่า การใช้สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยทำให้ระดับ ALT[1] และ AST[2] กลับสู่ภาวะปกติได้ นอกจากนี้ วิตามินบี และแมกนีเซียม ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเยียวยา และกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ตับที่เสียหายได้อีกด้วย

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. บทความเรื่อง “ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่คุณอาจไม่ทันรู้ตัว (Fatty Liver Disease)” https://bit.ly/2VVitEz
  2. บทความเรื่อง “ไขมันพอกตับ” https://bit.ly/3iQtwrz
  3. บทความเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นเมื่อไขมันพอกตับ” https://bit.ly/3yUUmo0
  4. บทความเรื่อง “โรคไขมันพอกตับ (NAFLD)” https://bit.ly/2VRAa81
  5. บทความเรื่อง “การตรวจ ALT (SGPT) : Alanine aminotransferase คืออะไร ?” https://bit.ly/3AGA9mk

 

[1] ALT (Alanine transaminase) หรือ Alanine aminotransferase ค่า ALT นับเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอย่างยิ่งตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ผลข้างเคียงหรือพิษต่อตับจากยารักษาโรคบางชนิด (เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล) จึงสรุปได้ว่า หากตับได้รับพิษจากยา แอลกอฮอล์ อาหาร หรือจากการถูกโจมตีด้วยเชื้อไวรัส ก็ย่อมมีผลทำให้ค่า ALT สูงขึ้นได้เสมอ

[2] AST : ALT (DeRitis ratio) เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ALT มักจะต้องตรวจหาค่า AST ควบคู่ไปด้วยเสมอ และพบว่าอัตราส่วนระหว่าง AST : ALT นั้น อาจช่วยบ่งชี้โรคตับอย่างหยาบ ๆ ได้

 

Exit mobile version